ยาสามัญประจำทริป

…. เตรียมพร้อม ก่อนเดินทาง “ยาสามัญประจำทริป” จะเที่ยวทั้งที ควรพกยาะไรบ้าง …
.
✅ ใกล้ถึงเทศกาลทุกที หลายคนก็คงเตรียมตัวแพ็คกระเป๋าเดินทางไปเที่ยวกันแล้ว
สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อมนั้นก็มีอยู่มากมาย และสิ่งหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือ “ยาสามัญประจำทริป”
ที่จะช่วยเซฟชีวิตระหว่างทริปของเราได้ ไม่ว่าจะทริปสั้นทริปยาว ทริปใกล้ทริปไกล
พกไปด้วยตลอด เจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆก็ กิน/ทา/นวด รักษาตัวเองเบื้องต้น จะได้เที่ยวต่อได้อย่างมีความสุข
☑ แล้วจะมียาอะไรที่เราควรเตรียมไปด้วยนั้น วันนี้ แอดมินสมนึกเภสัช มีคำตอบมาให้แล้ว
.
☑ ไอเท็มที่ 1: ยารักษาโรคประจำตัว
❎ เป็นยาที่สำคัญมากที่สุด สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวทุกคน เพราะ ยาบางชนิดอาจเป็นยาที่ไม่สามารถซื้อได้ทั่วไป
และถ้าเกิดอาการกำเริบขึ้นมาระหว่างทาง แต่ไม่มียาแล้ว อาจเป็นเรื่องใหญ่ได้ครับ ดังนั้น ควรมีพกติดตัวไว้เสมอนะครับ
.
☑ ไอเท็มที่ 2: ยาทาแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
❎ ยานวด บรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นอีกหนึ่งไปเท็มที่ควรมีติดเอาไว้ หรืออาจจะเพิ่มยาแก้ปวดหรือคลายกล้ามเนื้อเพิ่มเข้าไปด้วยก็ได้
เพราะไปเที่ยวทั้งที หากขับรถนาน หรือเดินเที่ยวทางไกล เป็นเวลานานหน่อย แล้วไหนจะต้องแบกทั้งของฝากต่างๆ
แต่ควรระวังด้วยว่า ยาคลายกล้ามเนื้อนั้นมีผลข้างเคียงที่ทำให้ง่วงได้ จึงควรกินก่อนนอนเท่านั้น *ควรสอบถามเภสัชกรก่อนทุกครั้งนะครับ*
.
☑ ไอเท็มที่ 3: ยาแก้หวัด ลดไข้ ลดน้ำมูก
❎ อาการหวัด น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ เป็นอาการป่วยที่พบได้บ่อยและง่ายที่สุด โดยเฉพาะเมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
จากร้อนไปหนาว หนาวไปร้อน ดังนั้น ยาที่ช่วย รักษาหวัด แก้ปวดหัว ยาลดน้ำมูก จึงถือได้ว่าเป็นยามาตรฐาน
สำหรับเวลาเดินทางไปที่ต่างๆ ซึ่งยาที่ควรพกติดตัวเอาไวก็ เช่น Paracetamol, Carbocysteine, Cetirizine เป็นต้น *ควรสอบถามเภสัชกรก่อนทุกครั้งนะครับ*
.
☑ ไอเท็มที่ 4: ยาแก้เมายานพาหนะ
❎ อาการเมารถ เมาเรือ เมาเครื่องบิน เป็นสิ่งที่อาจทรมาน และทำให้การท่องเที่ยวหมดสนุกลงได้ง่ายๆ
หากคุณเป็นคนที่เมารถเมาเรือง่าย อย่าลืมพก ยาแก้เมารถ ไปเผื่อ สำหรับบรรเทาอาการเมารถด้วย
❎ แต่ยาชนิดนี้มีผลข้างเคียงที่ทำให้ง่วงนาน จึงไม่เหมาะกับการเดินทางระยะสั้น
ดังนั้น สำหรับการเดินทางระยะสั้น อาจจะเตรียมอย่างอื่นมารับมือแก้ขัดไปก่อน
เช่น หมากฝรั่งหรือลูกอม สำหรับเบี่ยงเบนความสนใจ และถุงพลาสติก เผื่อเอาไว้กรณีที่อยากอาเจียนครับ
.
☑ ไอเท็มที่ 5: ยาสำหรับแก้อาการปวดท้อง ท้องเสีย
❎ ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องอืด แน่นท้อง อาเจียน อาหารเป็นพิษ เป็นอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
ที่พบได้เป็นปกติระหว่างการเดินทางไปต่างถิ่น โดยเฉพาะเมื่อต้องกินอาหารแปลกๆ ที่ไม่คุ้นเคย ดังนั้น จึงควรพกยาสำหรับอาการเหล่านี้ติดตัวเอาไว้เสมอ
❎ ซึ่งยาที่ควรเตรียมสำหรับ อาการปวดท้อง ท้องเสีย ก็มีอยู่หลายประเภท เช่น ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ผงคาร์บอน หรือถ่านอัดเม็ด
ยาลดการบีบตัวของลำไส้ แก้ปวดท้อง ผงเกลือแร่ สำหรับทดแทนการเสียน้ำเมื่ออาเจียนหรือท้องเสีย
ยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย รวมถึงยาแก้โรคกระเพาะ สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะบ่อย ๆ ด้วย *ควรสอบถามเภสัชกรก่อนทุกครั้งนะครับ*
.
☑ นอกจากนี้ ยังมี ยาสามัญประจำทริป อีกหลายประเภท ที่ควรเตรียมเอาไว้ก่อนออกเดินทาง ขึ้นอยู่กับความต้องการส่วนตัวของคุณเอง
เช่น ยาทาแผล ยาแก้แพ้ สำหรับผู้ที่มีเป็นโรคภูมิแพ้ หรือสาวๆ ที่แผนท่องเที่ยวตรงกับช่วงที่มีประจำเดือน
ก็ควรจะพก ยาแก้ปวดประจำเดือน เตรียมพร้อมเอาไว้ด้วย หรืออาจจะใช้วิธีกินยาเลื่อนประจำเดือนก็ได้เช่นกัน
.
✅ สำหรับข้อแนะนำอื่นๆ เพิ่มเติม ที่ต้องทราบและควรตรวจเช็คทุกครั้งก่อนเดินทางนั้น ได้แก่
❎ ยาที่จัดเตรียมไปเวลาท่องเที่ยว ควรตรวจดูก่อนเดินทางบ้างว่าหมดอายุหรือยัง และหากจะออกทริปใหม่ ก็ควรตรวจทุกครั้งครับ
❎ ยาที่เป็นแผง ไม่ควรแกะยาออกจากแผงเอามาใส่กล่องพกพา เพราะอาจมีผลต่อความคงตัวยาได้ครับ
❎ ยากิน ต้องเขียนชื่อยา สรรพคุณของยา และขนาดการใช้ ติดไว้ให้ชัดเจน *ควรสอบถามเภสัชกรก่อนทุกครั้งนะครับ*
❎ กล่องใส่ยาหาซื้อได้ทั่วไป เป็นกล่องพลาสติคมีหลายๆ ช่องใส่ยาทั่วไปแบ่งชนิดไว้อาจต้องติดชื่อชนิดยาเองใช่สติ๊กเกอร์กระดาษทั่วไปได้
สำหรับยาประจำตัวจะใส่กล่องหลายช่องธรรมดาหรือใส่ซองพลาสติคก็ตามสะดวก หรือจะกล่องแบบมี 7 ช่องระบุวันก็ได้ พกทีเดียวทั้งสัปดาห์ เลือกใช้ตามเหมาะสมครับ
.
☑ แหล่งที่มาข้อมูล SOOK By สสส.

กรดไหลย้อน

…. “กรดไหลย้อน” อันตรายจากทานอาหารไม่ตรงเวลา เรียนรู้ ปรับตัว แก้ไข ห่างไกลโรคได้! ….
.
✅ โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน
และหนึ่งในนั้นก็คือ “โรคกรดไหลย้อน” ในปัจจุบันเราจะได้ยินผู้คนพูดถึงเรื่องโรคนี้กันบ่อยมากขึ้น
ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะ โรคกรดไหลย้อน เป็นโรคหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก และไม่ว่าใครก็สามารถเป็นโรคนี้ได้
.
✅ “กรดไหลย้อน” คืออะไร?
☑ โรคกรดไหลย้อน ในทางการแพทย์ เรียกว่า Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD เป็นโรคที่พบได้ทุกเพศทุกวัย
จัดเป็นโรคทางเดินอาหารชนิดหนึ่ง กรดไหลย้อนเป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร
ทำให้เกิดอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอก เรอเปรี้ยวบ่อยๆ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
❎ หากเป็นโรคกรดไหลย้อนแล้วปล่อยเนิ่นนานจนเป็นเรื้อรัง ก็จะส่งผลให้หลอดอาหารมีแผล หรือหลอดอาหารตีบ กลืนลำบาก
หรือบางคนร้ายแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งที่หลอดอาหารเลยก็ได้ เพราะหลอดอาหารมีการสัมผัสกับกรดมากเกินไป ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นมะเร็งในที่สุด
.
✅ ปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อ “กรดไหลย้อน”
☑ โรคนี้เกิดขึ้นเพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น ปัจจัยหลักๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคนี้ ก็คือ
❎ ภาวะน้ำหนักเกิน
❎ พฤติกรรมการรับประทานและการนอน อย่างการรับประทานแล้วนอนทันที
❎ การรับประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว อย่างส้ม มะนาวบ่อยๆ
❎ การรับประทานช็อคโกแลต หรืออาหารที่มีส่วนผสมของมิ้นท์
❎ การรับประทานอาหารเสร็จแล้วนอนทันที
❎ การทานอาหารมันๆ การทานเยอะเกินไป จนทำให้เกิดความผิดปกติของหูรูดส่วนปลายหลอดอาหาร
❎ นอกจากนั้น ความอ้วน การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือการดื่มน้ำอัดลม ถือว่าเป็นปัจจัยเสริมที่มีส่วนทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้เช่นกัน
❎ ความเครียด สัมพันธ์กับเรื่องกรดไหลย้อนโดยตรง เพราะความเครียดส่งผลในด้านลบต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย
ในทางการแพทย์เรามักจะพบว่าคนที่มีความเครียด หลอดอาหารจะอ่อนไหวต่อกรด เมื่อมีกรดไหลย้อนขึ้นมาเพียงเล็กน้อย คนกลุ่มนี้ก็จะมีอาการแสดงให้เห็นทันที
.
✅ อาการของ “กรดไหลย้อน”
☑ โรคกรดไหลย้อนนั้นมีหลายอาการที่แสดงออกมาทั้งแบบเด่นชัดและแบบซ่อนเร้น อาการที่ชัดเจนของโรคนี้
คือ อาการแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยวบ่อยๆ แต่ก็มีไม่น้อยที่มาพบแพทย์ด้วยอาการที่ไม่ชัดเจน หลายๆ อาการที่แตกต่างกันไป
เช่น เจ็บหน้าอก ไอเรื้อรัง ไซนัสอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ หรือหูอักเสบ ซึ่งอาจทำให้แพทย์ตรวจไม่พบสาเหตุที่ชัดเจนของโรค
อาจต้องทำการตรวจโดยแพทย์จากหลายสาขา จนพบสาเหตุที่แท้จริง
☑ อาการสำคัญอีกประการ ได้แก่ การมีน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก อาการเหล่านี้พบได้บ่อยในคนตะวันตก
แต่ในคนไทยส่วนใหญ่อาการแสบร้อนที่บริเวณหน้าอกพบได้ไม่บ่อย และไม่รุนแรงเท่าชาวตะวันตก ผู้ป่วยมักมีอาการเรอ
และมีน้ำเปรี้ยวขึ้นมาในปาก ในผู้ป่วยที่มีการขย้อนน้ำและอาหารขึ้นมาขั้นรุนแรง อาจทำให้เกิดการสำลักเข้าไปในปอด จนเกิดอาการปอดอักเสบได้
.
✅ การรักษา “กรดไหลย้อน”
☑ ถ้าปฏิบัติตัวเบื้องต้นแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องรับประทานยาร่วมด้วย
❎ ปัจจุบันมียาหลายชนิดที่ใช้รักษาโรคนี้ เช่น ยาเคลือบและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ยากลุ่มนี้จะช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร
และใช้ได้ผลดีในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง หรือ มีอาการแสบหน้าอกเป็นครั้งคราว อีกกลุ่มคือ ยาลดการหลั่งกรด
ยาในกลุ่มนี้ต้องมีการปรับเปลี่ยนขนาดของยา และระยะเวลาในการรักษาอย่างใกล้ชิด จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
ส่วนยาเพิ่มการบีบตัวของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร อาจได้ผลในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการท้องอืดแน่นท้องร่วมด้วย
❎ ในปัจจุบันการรักษาด้วยยามักให้ผลการรักษาที่ดี แต่ต้องรับประทานยาเป็นเวลานานกว่า การรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารทั่วไป
และเมื่อหยุดยาผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีอาการกลับขึ้นมาใหม่ การผ่าตัดรักษาในปัจจุบัน
จึงอาศัยการผ่าตัดผ่านกล้องทำให้ลดอาการเจ็บจากการผ่าตัดได้ดีขึ้น และได้ผลการผ่าตัดที่ดี
.
✅ โรคกรดไหลย้อนสามารถดูแล บรรเทาอาการ และรักษาเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆให้เหมาะสม
เช่น การทานอาหารให้ตรงเวลา การลดน้ำหนักเพื่อลดความดันในช่องท้อง การงดสูบบุหรี่ งดรับประทานอาหารก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
งดอาหารมัน อาหารทอด อาหารรสจัด หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ สุรา
แต่หากมีอาการเจ็บป่วย ลักษณะอาการคล้ายกรดไหลย้อน ควรรีบมาพบแพทย์หรือเภสัชกรใกล้บ้าน
เพื่อทำการรักษา เพราะ อาจจะมีอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหารได้นะครับ
✅ แหล่งที่มาข้อมูล โรงพยาบาลพระรามเก้า

แร่ธาตุสารอาหาร

…. เคล็ดไม่ลับ เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงด้วย “แร่ธาตุ” ที่คุณอาจยังไม่เคยรู้ ….
.
✅ ความหนาแน่นของกระดูกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่วัยเด็ก สู่วัยรุ่น และถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่กระดูกจะดูดซึมสารอาหารและแร่ธาตุได้อย่างดีทำให้มีความแข็งแรง
แต่เมื่อถึงอายุ 20 ปีปลายๆ ความหนาแน่นและความแข็งแรงของกระดูกก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย และกระดูกจะสูญเสียความหนาแน่นอย่างรวดเร็วเมื่อเข้ามีช่วงอายุที่มากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือนจะมีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนซึ่งเป็นโรคที่สามารถทำให้กระดูกอ่อนแออย่างมาก
จนสามารถแตกหักได้ง่ายต่อการหกล้มหรือกระทบกระแทกกับของแข็ง
☑ นอกจากแคลเซียมแล้ว แร่ธาตุอื่นๆ ที่คุณอาจจะคิดไม่ถึงก็จำเป็นต่อความแข็งแรงของกระดูกในทุกช่วงวัย
เช่น เหล็ก ฟอสฟอรัส สังกะสี แมกนีเซียม โพแทสเซียม ทองแดง แล้วแต่ละแร่ธาตุมีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกาย พบได้ในอาหารประเภทไหน วันนี้แอดมินมีคำตอบมาให้แล้วครับผม
.
✅ แร่ธาตุที่จำเป็นต่อกระบวนการสร้างกระดูก
☑ 1. แคลเซียม (Calcium)
❎ แคลเซียมเป็นแร่ธาตุหลักสำหรับสุขภาพกระดูก ในขณะที่กระดูกแตกตัวและเติบโตขึ้นในแต่ละวันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คนเราจะได้รับแคลเซียมเพียงพอ
ในอาหาร วิธีที่ดีที่สุดในการดูดซึมแคลเซียมคือการบริโภคในปริมาณเล็กน้อยตลอดทั้งวันแทนที่จะรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงเพียงมื้อเดียวต่อวัน
และการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อความปลอดภัย
❎ แหล่งแร่ธาตุ: นม โยเกิร์ต ชีส ผักใบเขียว (เช่น ผักคะน้า) พืชตระกูลถั่ว ปลาทะเล (เช่น ปลาซาร์ดีน)
☑ 2. เหล็ก (Iron)
❎ ธาตุเหล็กเป็นปัจจัยร่วมของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์คอลลาเจน ในการตรวจทางห้องปฏิบัติการธาตุเหล็กในระดับต่ำอาจทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง
แต่หากคุณกำลังรับประทานแคลเซียมอย่ารับประทานธาตุเหล็ก ในเวลาเดียวกันเนื่องจากการศึกษาบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าอาหารเสริมแคลเซียมอาจขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก
ดังนั้น ควรแยกเวลาในการทานอาหารเสริมสองตัวนี้ด้วยนะครับ
❎ แหล่งแร่ธาตุ: ผักใบเขียวเข้ม (เช่น ผักโขม) เนื้อแดง
☑ 3. ฟอสฟอรัส (Phosphorus)
❎ ฟอสฟอรัสเป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในเซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายของเรา ฟอสฟอรัสส่วนใหญ่อยู่ในกระดูกและฟันและบางส่วนอยู่ในยีนของคุณ
ร่างกายของคุณต้องการฟอสฟอรัสเพื่อสร้างพลังงานและเพื่อดำเนินกระบวนการทางเคมีที่สำคัญมากมาย
❎ แหล่งแร่ธาตุ: ธัญพืช ผลิตภัณฑ์จากนม ไข่ ปลา เนื้อสัตว์ปีก พืชตระกูลถั่ว (เช่น ถั่วเลนทิล ถั่วไต ถั่วลันเตา) ธัญพืช (เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี) ผัก (เช่น มันฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่ง)
☑ 4. สังกะสี (Zinc)
❎ สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการมีสุขภาพกระดูกที่แข็งแรง ที่พบได้ในเซลล์ทั่วร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับแบคทีเรียและไวรัสที่รุกราน
ร่างกายยังต้องการสังกะสีเพื่อสร้างโปรตีนและดีเอ็นเอซึ่งเป็นสารพันธุกรรมในเซลล์ทั้งหมด ในระหว่างตั้งครรภ์วัยทารกและวัยเด็กร่างกายต้องการสังกะสี
เพื่อเติบโตและด้านพัฒนาการอย่างเหมาะสม สังกะสียังช่วยรักษาบาดแผลและมีความสำคัญต่อการรับรู้รสและกลิ่น
❎ แหล่งแร่ธาตุ: ช็อกโกแลต ผักใบเขียว (เช่น ผักโขม) นม โยเกิร์ตและผลิตภัณฑ์จากนม พืชตระกูลถั่ว เมล็ดพืช หรือธัญพืช
☑ 5. แมกนีเซียม (Magnesium)
❎ แมกนีเซียมมีความสำคัญต่อกระดูกที่แข็งแรง ผู้ที่รับประทานแมกนีเซียมสูงจะมีความหนาแน่นของกระดูกสูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของกระดูกหัก
และแมกนีเซียมมีความสำคัญต่อกระบวนการต่างๆ ในร่างกายรวมถึงการควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาทระดับน้ำตาลในเลือด
ความดันโลหิต และการสร้างโปรตีน กระดูก ไปจนถึงการสร้าง DNA การได้รับแมกนีเซียมมากขึ้นจากอาหารอาจช่วยให้สตรีสูงอายุเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้
❎ แหล่งแร่ธาตุ: ช็อกโกแลต ผักใบเขียว (เช่น ผักโขม) นม โยเกิร์ตและผลิตภัณฑ์จากนม พืชตระกูลถั่วถั่ว เมล็ดพืช หรือธัญพืช โพแทสเซียม
☑ 6. โพแทสเซียม (Potassium)
❎ ระบบการทำงานในร่างกายของคุณต้องการโพแทสเซียมเกือบทุกระบบ เช่น การทำงานของไตและหัวใจ
การหดตัวของกล้ามเนื้อ และการส่งกระแสประสาท รวมถึงการสร้างความหนาแน่นของกระดูก
ผู้ที่ได้รับโพแทสเซียมจากผักและผลไม้ในปริมาณสูงดูเหมือนจะมีกระดูกที่แข็งแรงกว่าผู้ที่กินในปริมาณน้อย
การได้รับโพแทสเซียมน้อยเกินไปสามารถเพิ่มความดันโลหิต ลดแคลเซียมในกระดูกและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในไต
❎ แหล่งแร่ธาตุ: อะโวคาโด กล้วย น้ำส้ม ถั่ว (เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเลนทิล) ธัญพืช นมและโยเกิร์ต แอปริคอตแห้ง ลูกพรุน ลูกเกด
☑ 7. ทองแดง (Copper)
❎ ทองแดงเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการมีสุขภาพกระดูกที่แข็งแรง นอกจากนี้ร่างกายของคุณใช้ทองแดงเพื่อทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง
รวมถึงการสร้างพลังงานเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและหลอดเลือด ทองแดงยังช่วยรักษาระบบประสาทและภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการทำงานในระดับยีน รวมถึงการพัฒนาสมอง
❎ แหล่งแร่ธาตุ: อะโวคาโด ถั่วชิกพี เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เห็ดตับวัว มันฝรั่ง ธัญพืช (เช่น รำข้าว ข้าวสาลี) เต้าหู้ ช็อกโกแลต หอยนางรม
.
✅ ข้อปฏิบัติเพื่อสนับสนุนให้ร่างกายสามารถนำแร่ธาตุเหล่านี้มาใช้ในการเสริมสร้างกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
☑ การออกกำลังกาย เช่น การยกน้ำหนักและการฝึกความแข็งแรงจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของกระดูกใหม่และรักษาโครงสร้างกระดูกที่มีอยู่
กินผักให้มากขึ้น การกินผักสีเหลืองและสีเขียว ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและความแข็งแรงของกระดูก
ในวัยผู้หญิงหมดประจำเดือนจะเป็นช่วยชะลอการลดลงของกระดูกและแคลเซียมได้ครับ
.
✅ การออกกำลังกาย การกินผักผลไม้อย่างเหมาะสม การหยุดสูบบุหรี่ และการหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกิดขนาดและเป็นประจำ
เป็นวิธีที่ได้ผลเสมอที่จะส่งช่วยรักษาสุขภาพกระดูกของท่านนะครับ การใช้แร่ธาตุหรืออาหารเสริม ก็สามารถใช้เป็นทางเลือกเสริมได้
ในกรณีที่ต้องการหาตัวช่วยในการบำรุงสุขภาพนะครับ
✅ แหล่งที่มาข้อมูล เวิลด์เมดิคอลเซนเตอร์

ภาวะตกขาว

…. “ภาวะตกขาว” ภาวะสุขภาพ ที่คุณผู้หญิงไม่ควรมองข้าม! ….
.
✅ ตกขาว เป็นอาการของผู้หญิงที่สามารถเกิดได้ตามปกติ แต่บางครั้งก็อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติได้เช่นกัน
แสดงออกผ่านทางลักษณะของตกขาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสีหรือกลิ่น บางครั้งส่งสัญญาณโรคร้าย และเป็นภาวะที่คุณผู้หญิงทั้งหลายไม่ควรมองข้าม
☑ โดยทั่วไปตกขาวที่มีลักษณะปกติจะมีสีใสหรือสีขาวบ้างเล็กน้อย ไม่มีกลิ่น อาจมีปริมาณมากในช่วงกลางรอบเดือนที่มีการตกไข่
หรือก่อนมีประจำเดือนและหลังมีประจำเดือน หากเป็นตกขาวปกติไม่มีอันตราย แต่ถ้าหากผิดปกติอาจเป็นสัญญาณของโรคบางอย่างที่ควรได้รับการรักษา
ดังนั้น วันนี้แอดมินสมนึกเภสัช จะมาไขคำตอบของ “ภาวะตกขาว” ภาวะสุขภาพ ที่คุณผู้หญิงไม่ควรมองข้าม! ให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ
.
✅ สาเหตุของ “ภาวะตกขาว”
☑ โดยปกติแล้วบริเวณช่องคลอดจะมีแบคทีเรียทีเรียเจ้าถิ่นอยู่ ทำหน้าที่คอยปกป้องช่องคลอดไม่ให้เกิดการติดเชื้อ
แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายมีการรับประทานยาฆ่าเชื้อ อาจเป็นการรักษาโรคหวัดและอื่นๆ จะส่งผลให้แบคทีเรียชนิดนี้ถูกทำลายได้
รวมถึงการนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง หรือการทานยากดภูมิ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตกขาวได้
รวมถึงช่วงหลังมีประจำเดือนหรือใกล้มีประจำเดือนที่เป็นปัจจัยเสี่ยง
☑ “ภาวะตกขาว” สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัยตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ อย่างในวัยเด็กอาจเกิดจากสิ่งแปลกปลอมที่เด็กนำไปใส่ในช่องคลอด
รวมถึงปัญหาที่เกิดจากการล่วงละเมิดทางเพศได้ ส่วนในวัยเจริญพันธุ์เรื่องความผิดปกติของตกขาวเป็นเรื่องที่เกิดได้บ่อย
โดยสาเหตุหลักมักมาจากการติดเชื้อ ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เป็นต้น
ส่วนสาเหตุอื่นนอกจากการติดเชื้อ เช่น เนื้องอก มะเร็ง สิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด เป็นต้น
☑ วัยสูงอายุ ก็สามารถเกิดความผิดปกติของตกขาวได้เช่นกัน วิธีสังเกตในวัยสูงอายุ ปกติแล้วร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโทรเจนน้อยลง
ส่งผลให้ตกขาวลดลงด้วย แต่ถ้าหากผู้สูงอายุรายไหนมีปริมาณตกขาวเพิ่มขึ้นหรือมากเกินไป อาจแสดงถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้
.
✅สีที่เปลี่ยนไปของ “ภาวะตกขาว” หมายถึงอะไร
❎ สีเขียว มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
เช่น หนองใน ต้องพบแพทย์เพื่อตรวจให้ละเอียดว่าเป็นเชื้ออะไร หรืออาจเป็นพยาธิ
❎ สีขาวขุ่น แสดงออกถึงอาการของเชื้อรา มักมีอาการคันร่วมด้วยหรือแสบร้อนบริเวณช่องคลอด
รวมถึงแสบร้อนขณะมีเพศสัมพันธ์ หากคู่นอนมีอาการด้วยก็ต้องได้รับการรักษาร่วมกัน
❎ สีเทา มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยต้องให้แพทย์ตรวจว่าเป็นแบคทีเรียชนิดไหน
หากเป็นแบคทีเรียธรรมดา แพทย์จะให้ยา แต่ถ้าเป็นแบคทีเรียที่ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ แพทย์จะให้ยาคู่นอนด้วย
❎ สีน้ำตาล หรือตกขาวที่มีเลือดปน อาการนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ต้องได้รับการตรวจละเอียด เพราะมีโอกาสเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งปากมดลูกได้
☑ หากพบความผิดปกติของตกขาวเกิดขึ้นในลักษณะใดก็ตาม ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจละเอียดและหาสาเหตุของความผิดปกติที่เกิดขึ้น
เพื่อทำการรักษาตามลำดับขั้นต่อไป โดยสังเกตจากสีและกลิ่นของตกขาวเป็นหลัก หรืออาจสังเกตจากปริมาณที่เปลี่ยนแปลงร่วมด้วย
สำหรับการซื้อยารับประทานเองตามร้านขายยา แพทย์ไม่แนะนำ เนื่องจากผู้ป่วยยังไม่ทราบถึงสาเหตุของความผิดปกติที่ชัดเจน
จึงอาจซื้อยารักษาได้ไม่ตรงกับโรคที่เป็น และอาจส่งผลให้อาการนั้นแย่ลงไปอีก
.
✅ การรักษา “ภาวะตกขาว”
☑ แพทย์จะรักษาตามอาการ หากพบว่าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ และถ้าหากเป็นการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์
แพทย์จะให้ยารักษากับคู่นอนด้วย หากความผิดปกตินั้นเกิดจากเชื้อรา แพทย์จะให้ยาฆ่าเชื้อรา อาจเป็นชนิดทานหรือชนิดเหน็บขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์
☑ ในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นแต่ปล่อยไว้และไม่ยอมรีบรักษา มีความเสี่ยงให้เกิดอาการลุกลามได้หากสาเหตุของความผิดปกตินั้นมีความรุนแรง
เช่น หนองใน ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษาอาจลุกลามและเกิดการติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานทำให้เกิดการอักเสบได้
.
✅ การป้องกัน “ภาวะตกขาว”
☑ “ภาวะตกขาว” ป้องกันได้โดยการทำร่างกายให้แข็งแรง โดยออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ งดสุราและบุหรี่
หรือปรับพฤติกรรมบางอย่าง เช่น หลีกเลี่ยงการอับชื้น ไม่ใส่กางเกงในรัดเกินไป และระวังเวลาเป็นหวัด หากทานยาฆ่าเชื้ออาจมีตกขาวตามมาได้
นอกจากนี้ ยังพบว่าในบางรายมีการฉีดน้ำล้างช่องคลอดเป็นเวลานาน ยังทำให้สิ่งแวดล้อมในช่องคลอดเปลี่ยนไป
อาจส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียเจ้าถิ่นตายและเกิดการติดเชื้อได้ง่ายอีกด้วย
☑ สำหรับการทำความสะอาดช่องคลอดควรทำความสะอาดในระดับที่พอดีกับความต้องการของร่างกาย ไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดมากเกินไป
เพราะจะทำให้ผิวหนังบริเวณช่องคลอดบาง หรือส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียเจ้าถิ่นตายและเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
☑ ส่วนข้อแนะนำเพิ่มเติม สำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป หรือเริ่มมีเพศสัมพันธ์ควรตรวจภายในเป็นประจำทุกปี
เพื่อตรวจหาสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นและทำการรักษาได้ทันเวลานะครับ
.
✅ โดยทั่วไปการติดเชื้อหรือความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศหญิงอาจมีผลทำให้ตกขาวผิดปกติได้ ซึ่งบางครั้งอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษา
ดังนั้น ผู้ที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของตกขาวหรืออาการอื่นๆ ที่อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์
ควรไปพบแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไปนะครับผม
✅ แหล่งที่มาข้อมูล โรงพยาบาลพระรามเก้า

NCDs

…. ภัยเงียบจาก NCDs และ อาการเบื้องต้นที่ควรทราบ …
.
✅ จากสถานการณ์ปัจจุบัน ภัยของโรคร้ายที่เกิดขึ้นนับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที
โดยคนไทยส่วนใหญ่มักสนใจอยู่ที่ การแพร่ระบาดของโรคติดต่อต่างๆ จนไม่มีใครคาดคิดว่ายังมีภัยเงียบ
ที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวเองอย่างกลุ่ม “โรค NCDs”
☑ วันนี้ แอดมินสมนึก จะมาพูดถึงภัยเงียบจาก “NCDs” โรคไม่ติดต่อที่ไม่ควรมองข้าม โรคเหล่านี้คืออะไร และเราจะป้องกันได้อย่างไร
เรามาอ่านและติดตามกันได้ในบทความนี้เลยครับ
.
✅ โรคกลุ่ม NCDs (Non-communicable diseases) คือ โรคที่ไม่ติดต่อ ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส คลุกคลี
หรือสัมผัสกับสารคัดหลั่งต่าง ๆ เพราะโรคของกลุ่มนี้ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เป็นโรคที่มีความสัมพันธ์กับนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิต
การเจริญเติบโตของโรคจะค่อยๆ สะสมอาการทีละนิด สุดท้ายจะเกิดอาการเรื้อรังในที่สุด หากไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างถูกต้องและทันเวลา
ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยและคนรอบข้าง
❎ โรค NCDs เป็นปัญหาใหญ่ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คนไทยป่วยด้วยโรค NCDs 14 ล้านคน
เสียชีวิตมากกว่า 340,000 ราย/ปี หรือ 75% ของการเสียชีวิตในแต่ละปีของคนไทยทั้งหมด
คิดเป็นเสียชีวิตเฉลี่ยชั่วโมงละ 37 คน และมีแนวโน้มการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี ซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตก่อนอายุ 60 ปี
❎ ปัจจุบันกลุ่มโรค NCDs ที่มีอัตราผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตสูงสุด มีอยู่ 5 โรค ได้แก่
เบาหวาน หลอดเลือดสมอง ถุงลมโป่งพอง มะเร็ง และความดันครับ
.
✅ สัญญาณเบื้องต้นอะไรบ้าง ที่บ่งบอก ภาวะ NCDs ในร่างกายเรา?
✅ โรคที่ 1 – เบาหวาน : ชีวิตติดหวาน
☑ เบาหวาน ถือว่าเป็น อันดับ 1 ในกลุ่มโรค NCDs ที่พบได้ ซึ่งเสี่ยงเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคไตวาย ในอนาคตได้
หากเราไม่รู้จักคุมเบาหวานให้ได้ครับ โดยสัญญาณอาการแสดง ได้แก่
❎ ฉี่บ่อยกว่าปกติ โดยเฉพาะกลางคืน น้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ เป็นแผลทีไร หายยาก เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย มีปื้นดำตามคอ ข้อพับ ขาหนีบ
.
✅ โรคที่ 2 – หลอดเลือดสมองและหัวใจ : ตีบ ตัน แตก
☑ โรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับต้น ๆ โดยปัจจุบันพบเร็วขึ้นในกลุ่มอายุ 45 ปีขึ้นไป และกลุ่มที่เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันสูง ไขมันในเลือดสูง และผู้ที่สูบบุหรี่จัด โดยสัญญาณอาการแสดงที่เมื่อพบต้องไปโรงพยาบาลทันที ได้แก่
❎ เหนื่อยง่ายกว่าปกติ แขน ขา อ่อนแรงเฉียบพลัน ปลายมือ ปลายเท้าชา ปวดหน้าอกข้างซ้ายร้าวไปถึงแขน พูดลำบาก ปากเบี้ยว
.
✅ โรคที่ 3 – โรคถุงลมโป่งพอง : ปอดโป่ง
☑ ปัจจุบัน โรคถุงลมโป่งพองติดอันดับ 5 ของสาเหตุการเสียชีวิตในประเทศไทย สัญญาณอันตรายที่ควรสังเกต ได้แก่
❎ ไอเรื้อรัง เป็นหวัดง่าย หายช้า เหนื่อยหอบ หลอดลมอักเสบบ่อย แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด
.
✅ โรคที่ 4 – โรคมะเร็ง : เนื้อร้าย ข่าวร้าย
☑ ปัจจุบันมีสถิติพบว่า คนไทยและทั่วโลกมีแนวโน้มเป็นโรคนี้สูงมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ปี สัญญาณอันตรายที่ควรสังเกต ได้แก่
❎ ระบบขับถ่ายมีปัญหา เกิดแผลเรื้อรังรักษาไม่หาย มีเลือด ของเหลวออกมาอย่างผิดปกติ มีตุ่มก้อนในร่างกายโตเร็วผิดปกติ ไอ และเสียงแหบเรื้อรัง
.
✅ โรคที่ 5 – โรคความดันโลหิตสูง : สูงไปก็ไม่ดี
☑ ภาวะที่มีระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง คือจะมีค่าตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป เกิดได้ทั้งจากความเครียด การไม่ออกกำลังกาย
การรับประทานอาหารไขมันสูง เป็นต้น สัญญาณอันตรายที่ควรสังเกต ได้แก่
❎ ปวดศีรษะบ่อยๆ หลังตื่นนอนมึนงง ตาพร่ามีเลือดกำเดาออกบ่อยๆ ปวดหัวเฉียบพลันบ่อยๆ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น
.
✅ ปัญหาของโรค NCDs เหล่านี้ จัดว่าเป็นภัยเงียบ ที่ซ่อนอยู่ในตัวเราและมักจะไม่แสดงอาการให้เห็นตั้งแต่เริ่มต้น
แต่เราสามารถเริ่มต้นดูแลสุขภาพตัวเอง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเหล่านี้ได้ตั้งแต่วันนี้
เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง และ หลีกเลี่ยงความเครียด เป็นต้น
☑ หันมาใส่ใจตัวเราเองกันสักนิด เพื่อชีวิตของเรา อย่าลืมป้องกัน เริ่มต้นจากการดูแลสุขภาพตัวเองนะครับ
เราสามารถเริ่มดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเหล่านี้ได้ เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง และ หลีกเลี่ยงความเครียด
.
☑ แหล่งที่มาข้อมูล SOOK By สสส.

Steroids

…. รู้จัก รู้ทัน สเตียรอยด์ สารตัวร้าย อันตรายกว่าที่คิด….
.
✅ คนไทย ส่วนใหญ่ เมื่อเจ็บป่วยนิยมใช้บริการของโรงพยาบาลหรือคลินิก
แต่ยังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่หาซื้อยามารักษาอาการเจ็บป่วยเอง
ซึ่งการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้องหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นปัญหาที่สำคัญซึ่งมักเกิดขึ้น
โดยเฉพาะปัญหาการใช้ยาชุดหรือยาแผนโบราณที่ลักลอบใส่ลงไป
.
✅ สเตียรอยด์แบบทาน (Steroids) จัดเป็นยาควบคุมพิเศษที่ต้องสั่งใช้ยาโดยแพทย์หรือมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น
เนื่องจากเป็นยาที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้มากมาย หลายระบบ
แต่ด้วยการออกฤทธิ์ที่เร็วและให้ความรู้สึกดีขึ้นในทันที จึงทำให้มีผู้เห็นแก่ได้ลักลอบนำไปจัดเป็น “ยาชุด”
หรือนำไปผสมในยาลูกกลอน ยาแผนโบราณ และโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณ เกินจริงว่าสามารถรักษาได้สารพัดโรค
วันนี้ แอดมินสมนึกเภสัช จึงขอนำเสนอ เรื่องราวของ “สเตียรอยด์” สารตัวร้าย อันตรายกว่าที่คิด ให้ทุกท่านได้รู้จักกันครับ
.
✅ สเตียรอยด์ (Steroids) เป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้น โดยเกี่ยวข้องกับการควบคุมการใช้และสะสมพลังงานของร่างกาย
ควบคุมระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะในการเผชิญกับภาวะเครียด
ทางการแพทย์จึงมีการสังเคราะห์สารสเตียรอยด์ขึ้น เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการกดภูมิคุ้มกัน ต่อต้านการอักเสบ
เช่น ปวดข้อรูมาตอยด์ โรคหอบหืด โรคภูมิแพ้ และภูมิคุ้มกัน รวมถึงใช้ทดแทนในกรณีที่ร่างกายไม่สามารถสร้างสาร ดังกล่าวได้
.
✅ การที่ร่างกายได้รับสารสเตียรอยด์อย่างไม่เหมาะสมหรือการได้รับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
จึงทำให้เกิดอันตรายต่อระบบต่างๆ ของร่างกายหลายอย่าง ได้แก่
❎ สเตียรอยด์ ขนาดสูงมีผลกดภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
และยังอาจบดบังการแสดงอาการของโรค ทำให้ตรวจพบโรคเมื่ออาการรุนแรงแล้ว
❎ สเตียรอยด์ มีผลทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารบางลงและยับยั้งการสร้างเนื้อเยื่อใหม่
จึงระคายเคืองกระเพาะอาหาร อาจทำให้กระเพาะอาหารทะลุหรือเลือดออกในกระเพาะอาหารได้
❎ สเตียรอยด์ หากได้รับอย่างต่อเนื่องจะทำให้กระดูกพรุน โดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง
เช่น ผู้สูงอายุ คนที่เป็นโรคไขกระดูก จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน
❎ สเตียรอยด์ใช้ต่อต่อเนื่องจะทำให้เกิดอาการอันไม่พึงประสงค์ เช่น เป็นสิว ขนดก ระบบประจำเดือนผิดปกติ อ้วน แผลหายช้า
เนื่องจากเกิดการสะสมของไขมันผิดที่ ทำให้ใบหน้าบวมกลมแบบพระจันทร์ (Moon Face)
ไขมันสะสมบริเวณหลังคอเหนือกระดูกไหปลาร้า (Buffalo Hump) ความดันโลหิตสูง ระดับโซเดียมและ น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เป็นต้น
.
✅ ดังนั้น การใช้สเตียรอยด์ในการรักษา ควรอยู่ภายใต้การดูแลของเภสัชกรและแพทย์อย่างใกล้ชิด
หลีกเลี่ยงอย่างไร ห่างไกล สเตียรอยด์
❎ อย่าซื้อยาชุด ยาลูกกลอนหรือยาแผนโบราณที่ไม่มีเลขทะเบียนตำรับยา (ไม่ผ่านการอนุญาตจาก อย./สสจ.)
หรือจากรถเร่ หรือตามตลาดนัด แผงลอย เพราะ อาจมีสเตียรอยด์ ผสมอยู่ได้
❎ อย่าซื้อยาตามคำโฆษณาชวนเชื่อว่า ยานั้นสามารถ รักษาโรคได้ครอบจักรวาลและรักษาได้หายขาดทันใจ
❎ หากพบเห็นผู้ป่วยที่ใช้ยาชุดหรือยาที่สงสัยว่าอาจมีสเตียรอยด์ผสมอยู่
อย่าหยุดใช้ยากะทันหันเพราะอาจจะเกิดอันตราย ให้รีบนำยาที่กินประจำไปปรึกษาแพทย์โดยด่วน
❎ หากสงสัยว่ายานั้นผสมสเตียรอยด์หรือไม่ สามารถส่งตัวอย่างยาที่ใช้อยู่ไปตรวจได้
ที่รถหน่วยตรวจสอบเคลื่อนที่ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (Mobile Unit)
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
หรืออาจซื้อชุดตรวจทดสอบสเตียรอยด์ ที่มีจำหน่ายตามร้านยา และนำมาทดสอบเองได้ครับ
.
✅ และที่สำคัญ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับยาหรืออาการป่วยที่จำเป็นต้องได้รับยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
และซื้อยาจากร้านยาที่มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายหรือจากร้านยาคุณภาพเท่านั้น
เพียงเท่านี้ เราก็สามารถมั่นใจได้แล้วครับ ว่ายาที่ได้รับจะมีคุณภาพ และตรงกับความเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ครับผม
.
แหล่งที่มาข้อมูล สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข

แผลไฟไหม้

…. ไขคำตอบ ตอบคำถาม วิธีรักษา “แผลไฟไหม้” ที่ถูกต้อง รักษาไว แผลหายเร็ว ….
.
✅ หากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดแล้วเกิดบาดแผลรุนแรงในระดับที่ต้องส่งโรงพยาบาล การปฐมพยาบาลเพื่อดูแลแผลเบื้องต้นอย่างถูกวิธี
ไม่ว่าจะเป็นแผลไฟไหม้ (Burn) แผลน้ำร้อนลวก แผลไฟช็อต แผลฟ้าผ่า แผลจากสารเคมี คือสิ่งสำคัญที่ช่วยเยียวยาบาดแผลให้ดีขึ้น
และพร้อมสำหรับการรักษาอย่างถูกวิธีกับแพทย์เฉพาะทางต่อไป
☑ วันนี้ แอดมินสมนึก จึงขอมาไขคำตอบ ตอบคำถาม วิธีรักษา “แผลไฟไหม้” ที่ถูกต้อง รักษาไว แผลหายเร็ว ให้ทุกท่านได้ทราบแนวทางการรักษากันนะครับ
.
✅ ประเภทของ “แผลไฟไหม้” โดยการแบ่งบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกตามความลึก
☑ 1. First Degree Burn
❎ เป็นการบาดเจ็บในชั้นหนังกำพร้า บาดแผลเจ็บไม่มาก และมักจะหายเองภายใน 1 สัปดาห์ โดยไม่มีแผลเป็น
เช่น บาดแผลจากการถูกแสงแดดเป็นเวลานาน (Sun Burn) หรือ ผิวหนังสัมผัสกับของร้อน มีเพียงแดงและอาการแสบ แต่ยังไม่มีการถลอกของผิวหนัง
☑ 2. Superficial Second Degree Burn
❎ เป็นการบาดเจ็บในชั้นหนังแท้ส่วนที่อยู่ตื้นๆ บาดแผลประเภทนี้จะเจ็บมาก บางครั้งพองเป็นตุ่มน้ำใสๆ
ถ้ารักษาอย่างถูกต้องมักจะหายได้เองภายใน 2 – 3 สัปดาห์ โดยบาดแผลประเภทนี้มักไม่ค่อยเป็นแผลเป็น
☑ 3. Deep Second Degree Burn
❎ เป็นการบาดเจ็บในชั้นหนังแท้ส่วนลึก บาดแผลประเภทนี้จะเจ็บมากเช่นกัน จะแยกกับบาดแผลประเภทที่ 2 ได้ยาก การรักษาใช้เวลานานมากขึ้น บางครั้งมีแผลเป็นเกิดขึ้นได้
☑ 4. Third Degree Burn
❎ เป็นบาดแผลที่ทำลายผิวหนังทุกชั้นจนหมด จะไม่เจ็บมาก เพราะเส้นประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดจะถูกทำลายไปด้วย
บาดแผลจะมีสีค่อนข้างซีด บางครั้งจะมีเนื้อตายแข็งๆ คลุมแผลอยู่ การรักษาจะยุ่งยากมากขึ้น จำเป็นต้องเลาะเนื้อตายออก
และต้องทำการผ่าตัดเอาผิวหนังมาปลูกถ่าย (Skin Grafting) ยกเว้นบาดแผลขนาดเล็กมาก อาจทำแผลจนหายเองได้ แต่มักจะมีแผลเป็นแผลหดรั้งตามมา
.
✅ วิธีดูแลแผลไฟไหม้ที่ถูกต้อง
☑ หากได้รับบาดเจ็บเกิดแผลไหม้บนผิวหนังควรได้รับการดูแลเบื้องต้นทันทีเพื่อลดอาการบาดเจ็บ สามารถแบ่งตามเหตุที่ทำให้เกิดการไหม้ คือ
❎ การดูแลแผลไฟไหม้และแผลน้ำร้อนลวก
ควรออกจากความร้อนให้เร็วที่สุด แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติเท่านั้นเพื่อลดความร้อน เลี่ยงน้ำเย็นและน้ำแข็ง
ปิดแผลด้วยผ้าสะอาด นำส่งโรงพยาบาลทันที เนื่องจากเนื้อเยื่อที่โดนความร้อนเซลล์จะตายจึงต้องลดความร้อนให้เร็วที่สุดภายใน 15 นาทีแรก
เพราะยิ่งลดความร้อนได้เร็วก็จะช่วยลดความเสียหายกับเนื้อเยื่อได้
❎ แผลไฟฟ้าช็อตและฟ้าผ่า
ควรนำผู้ป่วยออกจากไฟฟ้าให้เร็วที่สุด โดยใช้วัสดุที่ไม่นำกระแสไฟฟ้า เช่น ผ้าแห้ง ไม้ ห้ามใช้มือจับผู้ที่ถูกไฟช็อตโดยตรง
พยายามหาทางตัดวงจรไฟฟ้าในบริเวณที่เกิดเหตุทันที ตรวจเช็กความผิดปกติของผู้ป่วย การเต้นของหัวใจ สิ่งแปลกปลอมที่ตกค้างในปาก
การบาดเจ็บหรือบาดแผลอื่นๆ เช่นที่ศีรษะหรือกระดูกต่างๆ เพราะการโดนไฟฟ้าช็อตยิ่งนานยิ่งอันตราย จะส่งผลให้เนื้อเยื่อเสียหายมากขึ้น
โดยความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับปริมาณกระแสไฟฟ้า หากได้รับกระแสไฟฟ้าเกิน 500 โวลต์ กล้ามเนื้ออาจสลายได้
แม้แผลด้านนอกจะเล็ก แต่ด้านในเนื้อเยื่อจะถูกทำลาย ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
❎ แผลจากสารเคมี
หากสารเคมีเป็นฝุ่น ผง ให้ใช้แปรงปัดสารเคมีออกให้ไวที่สุด ห้ามเป่า ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนสารเคมีออก หากเป็นแบบเหลวหรือเป็นน้ำ
เบื้องต้นควรล้างด้วยน้ำเปล่าบริเวณที่โดนสารให้มากและเร็วที่สุด ไม่ว่าจะโดนสารเคมีที่เป็นกรดหรือเบสให้ล้างด้วยน้ำเปล่า
ใช้ผ้าสะอาดปิดแผลแบบไม่แน่นมาก หากเป็นแขนหรือขาให้ยกส่วนนั้นให้สูงกว่าลำตัวป้องกันไม่ให้เกิดอาการบวม และนำส่งโรงพยาบาลทันที
หากโดนสารเคมีรุนแรงจะเป็นอันตรายมาก ส่วนใหญ่ต้องเข้ารับการรักษาในห้องไอซียู
.
✅ ผู้ป่วยที่มีบาดแผลไหม้ที่กินพื้นที่ในบริเวณกว้างมากกว่า 20% ของพื้นที่ผิวของร่างกาย จะมีความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยทั่วไปความกว้างของบาดแผล
จะต้องได้รับการดูแลในสภาพทั่วไปให้ดีโดยทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ต้องมีขั้นตอนในการป้องกันการเกิดบาดแผลติดเชื้อ เพราะถ้ามีแผลติดเชื้อที่เป็นแผลลึก
มีการผ่าตัดเนื้อตายออกด้วยวิธีการที่ถูกต้อง โดยเก็บเนื้อดีไว้ให้มากที่สุด เพื่อลดการติดเชื้อของบาดแผลและลดการปลูกถ่ายผิวหนัง
☑ นอกจากนี้ จะต้องมีการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากการบวมของเนื้อเยื่อ แพทย์จะเร่งทำหัตถการช่วยลดความดันในระหว่างโพรงกล้ามเนื้อให้ทันท่วงที
เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนในการสูญเสียแขน ขา มือหรือเท้า จากการเกิดภาวะหดรัดของบาดแผล นอกจากนี้ก็มีการให้สารอาหารที่มีลักษณะ
กระตุ้นภูมิต้านทานและมีโปรตีนสูง จะทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้น สามารถทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น และลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้
.
✅ สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อเกิดบาดแผลไม่ควรใช้ยาสีฟันและน้ำแข็งประคบแผล เพราะอาจทำให้แผลเกิดการระคายเคือง หรือติดเชื้อได้
จนทำให้การรักษาแผลยากยิ่งขึ้น ปัจจุบันการักษามีความก้าวหน้าไปมาก การเลือกใช้วัสดุปิดแผลอย่างถูกต้องและการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์
จะทำให้ผู้ป่วยลดความทุกข์ทรมานจากบาดแผลได้ หายเร็วขึ้นและแผลเป็นลดลง ดังนั้นหากมีบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกควรได้รับการรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์ทันที
.
✅ แหล่งที่มาข้อมูล เวิลด์เมดิคอลเซนเตอร์

Sleep Debt

…. Sleep Debt นอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะ “ติดหนี้การนอน” อยู่หรือเปล่า? ….
.
✅ เป็นกันอยู่หรือเปล่ากับการที่นอนเท่าไหร่ฉันก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียนอนไม่พอทุกที หรือใครที่จำไม่ได้แล้วว่า
คืนล่าสุดที่หลับครบ 8 ชั่วโมงคือวันไหน หากสงสัยแล้วตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ คุณอาจจะกำลังติดหนี้การนอน (Sleep Debt) ก็ได้
.
✅ หนี้การนอนคืออะไร?
☑ Sleep Debt ที่แปลเป็นไทยตรงๆว่า หนี้การนอน คือการรู้สึกไม่ผ่อนคลาย อ่อนเพลียในช่วงเวลาตื่น
โดยสาเหตุหลักมาจากการอดนอนหรือนอนไม่พอติดต่อกันเป็นเวลานานจนสะสมเป็นหนี้สินค้างชำระ
ที่รอเวลาสำหรับการชดเชย มันก็ไม่ต่างอะไรกับการติดหนี้ธนาคาร
❎ ยิ่งไปกว่านั้นหากเราติดนิสัยการอดนอนนี้ต่อเนื่องเรื่อยๆ จนหนี้การนอนพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆจนร่างกายไม่สามารถแบกรับได้ไหว
เราก็สามารถล้มละลายได้เช่นเดียวกันจากการแบกรับไม่ไหวของร่างกายที่เรียกว่า “ภาวะล้มละลายทางการนอน”
สมองจะสัปหงกและหลับในจนนำมาซึ่งอันตรายนั่นเอง
.
✅ ผลเสียจากหนี้การนอน
☑ ความเครียดไม่ระบาย
❎ เมื่อร่างกายเข้าสู่ช่วงพักผ่อนในขณะนอนหลับ สมองจะปรับสมดุลฮอร์โมน ซึ่งรวมถึงระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol)
ที่เป็นฮอร์โมนความเครียดจึงทำให้ช่วงเช้าจะรู้สึกสดใสหากนอนหลับเต็มอิ่ม 8 ชั่วโมง
รวมถึงการขาดนอนจะคอยยับยั้งระบบไตร่ตรองของเราทำให้ตัดสินใจลำบากจนนำมาสู่ความเครียดได้
.
☑ ไม่มีสมาธิ
❎ เมื่อนอนหลับไม่เพียงพอจนติดหนี้จะทำให้ร่างกายไม่ได้ซ่อมแซมส่วนสึกหรอในร่างกายซึ่งรวมไปถึงเซลล์สมอง
ส่งผลให้อวัยวะส่วนต่างๆสูญเสียเซลล์อย่างถาวร ความจำและสมาธิก็ยากที่จะตื่นตัวอีกครั้ง
.
☑ เสี่ยงโรคเรื้อรัง
❎ ปัญหาการนอนไม่หลับไม่เพียงแต่จำเพิ่มพูนหนี้การนอน แต่ยังนำมาด้วยโรคเรื้อรังต่างๆ ทั้ง
โรคนอนไม่หลับ โรคอ้วน เบาหวาน หรือสาเหตุของโรคหัวใจที่อันตรายต่อสุขภาพระยะยาว
.
☑ หวิดอุบัติเหตุร้ายแรง
❎ เพราะที่เคยบอกไว้ว่าการอดหลับอดนอนก็ทำให้ร่างกายล้มละลายได้เช่นเดียวกัน สมองทำงานไม่ไหว
เข้าโหมดสัปหงกและหลับในจนเกิดเป็นอุบัติเหตุที่เห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ในทุกๆวัน
.
☑ วิธีชำระหนี้การนอน
❎ แม้การพักผ่อนร่างกายจะมีระบบหนี้เหมือนระบบการเงิน แต่น่าเสียดายเราไม่สามารถจ่ายทบต้นทบดอกในทีเดียวได้
นี่จึงเป็นคำตอบของหลายๆคนที่สงสัยว่าทำไมนอนเยอะเกือบครึ่งวันแต่ตื่นมายังรู้สึกง่วงอยู่ เพราะวิธีการชำระหนี้การนอนมีอยู่วิธีเดียว
นั่นก็คือการนอนอย่างเต็มอิ่ม 8-10 ชั่วโมง ติดต่อกันเป็นนิสัย
.
✅ หลังจากนี้คำถาม นอนน้อยมากี่วันแล้ว? คงเป็นคำถามที่เราต้องให้ความสำคัญมากกว่าเดิม
เพราะคงไม่มีใครอยากติดหนี้ทั้งบนหน้าสมุดบัญชีและบนหน้าผากตัวเองในฐานะ หนี้การนอน
จนล้มละลายแบบที่ใครก็ชดเชยแทนไม่ได้นอกจากตัวเอง
✅ แหล่งที่มาข้อมูล โรงพยาบาลสินแพทย์ / เวิลด์เมดิคอลเซนเตอร์

2 วิธีการทำความสะอาดแผล

การทำความสะอาดแผลแบบแห้ง (Dry dressing) เหมาะสำหรับแผลแห้ง ไม่มีการอักเสบหรือสารคัดหลั่ง

  1. เช็ดบริเวณรอบแผลด้วยแอลกอฮอล์ โดยเช็ดวนจากขอบแผลด้านในออกมาด้านนอก ไม่เช็ดวนซ้ำรอยเดิม และไม่ควรเช็ดแผลโดยตรง
  2. ใส่ยาทำแผลหรือยาฆ่าเชื้อบริเวณแผล
  3. ปิดด้วยผ้าปิดแผลและติดยึดด้วยเทปปิดแผลตามขวางของลำตัว

อ่านเพิ่มเติม

ชุดปฐมพยาบาล

ชุดปฐมพยาบาล (First aid kit) คือ อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บเบื้องต้น ซึ่งควรเก็บไว้ในกล่องหรือภาชนะที่มีฝาปิดสนิท ป้องกันน้ำและฝุ่นละอองได้ โดยชุดปฐมพยาบาลประกอบด้วยอุปกรณ์ทำแผล และยารักษาโรคเบื้องต้น เช่น
ยาล้างแผล เช่น แอลกอฮอล์ หรือไฮโดรจน เพอร์ออกไซด์ เป็นต้น สำหรับเช็ดทำความสะอาดรอบๆแผลเพื่อฆ่าเชื้อและสิ่งสกปรก
น้ำเกลือล้างแผล สำหรับล้างทำความสะอาดแผล

อ่านเพิ่มเติม

Artboard 1
ที่อยู่

หจก.สมนึกเภสัช
824 จ. 826 ถ.เจตน์จำนงค์
ต.บางปลาสร้อย อ.เมือง ชลบุรี
เมืองไทย 20000

ติดต่อ

Tel: 038 282 960 / 038 271 960
Fax: 038 286 960
sales@snbmedical.com

เวลาทำการ

จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 19.00 น.
เฉพาะวันเสาร์: 8.00 - 18.00 น.

Artboard 1

หจก.สมนึกเภสัช
824 จ. 826 ถ.เจตน์จำนงค์
ต.บางปลาสร้อย อ.เมือง ชลบุรี
เมืองไทย 20000


Tel: 038 282 960 / 038 271 960
Fax: 038 286 960
info@snbmedical.com

จันทร์ - ศุกร์: 8.00 - 19.00 น.
เฉพาะวันเสาร์: 8.00 - 18.00 น.

Copyright © 2018 สมนึกเภสัช Created by BOLD Digital